วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

พายุเกย์ถล่มชุมพร

ข้อความข้างล่างเป็นเรื่องเล่าจากคุณ สรพัศ ปณกร มาชิกจากเฟสบุ๊คส่งเรื่องมาให้  ผมลงไว้ทั้งหมด โดยไม่ได้ตัดต่อแต่ประการใดครับ   เป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์  มีข้อแนะนำต่างๆ ที่สามารถนำไปแก้ปัญหาเมื่อต้องประสบภัยจากพายุได้ครับ    เรื่องอาจจะยาวสักหน่อย  สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่าน  หากท่านต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อผู้เขียนได้โดยตรงทางเฟสบุ๊ค  ผมใส่ลิงค์ตรงชื่อไว้แล้วครับ

 พายุเกย์ โดย...soraphat panakorn

soraphat panakorn
วันที่เกิดพายุเกย์คือวันที่เสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2532 ขณะนั้นผมกำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 2 โรงเรียนปะทิววิทยา อ. ปะทิว จ. ชุมพร ปกติแล้วทุกเช้าวันเสาร์ผมจะเดินทางกลับบ้านที่อยู่หมู่ 6 ต.ชุมโค (บ้านเขาพัง) โดยรถไฟ จากสถานีปะทิวมายังสถานีบ้านคลองวังช้าง แล้วนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับบ้านที่ห่างออกไปประมาณ 6 กิโลเมตร

แม้จะผ่านมาร่วม 26 ปีแต่ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ยังคงอยู่ในความทรงจำกระจ่างชัด ตอนที่ผมเดินมาสถานีรถไฟปะทิวนั้น ฝนเริ่มตกปรอยๆ ฟ้าครึ้มไปทั่ว กระแสลมยังพัดเอื่อยๆ ไม่แตกต่างกับวันฝนตกปกติ   เมื่อผมถึงสถานีรถไฟวังช้างตอนประมาณ 9.00 น.  ฝนเริ่มหนักมากขึ้น เม็ดเป้งๆ หล่นหนักไม่ขาดสาย ลมเริ่มแรง สายฝนเอนตัวตามลมประมาณ 60 องศา ที่คิวรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างว่างเปล่า ร้านก๋วยเตี๋ยวป้าวันดี เจ้าประจำรายเดียวที่สถานีก็ปิด ร้านตัดผม ที่เจ้าของเป็นหนุ่มวินด้วยวันนี้ก็ไม่มีคน ถามบ้านข้างๆ เพื่อหารถกลับบ้านเขาบอกว่า วิทยุประกาศว่าวันนี้จะมีพายุเข้า ทุกคนกลับบ้านหมด คำตอบนี้ ทำให้ผมหมดทางเลือก ต้องออกเดินเท้าฝ่าฝนกลับบ้าน ที่ติดตัวมีเพียงรองเท้าแตะ กางเกงขายาว เสื้อแขนสั้น กระเป๋าเป้เล็กที่มีเสื้อผ้าและหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดโรงเรียน

เดินมาได้ประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงช่วงระหว่างเขาข่า และวัดเอราวัณนันทิยาราม ซึ่งเป็นวัดที่สมัยเรียนประถมมาเที่ยวงานประจำปีเป็นประจำ   ณ จุดนี้เอง ที่ความผิดแปลกบางอย่างเริ่มสังเกตได้ ผมได้ยินเสียงเหมือนมีเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ บินอยู่หลังม่านฟ้าดำทะมึน ท่ามกลางสายฝนไม่ลืมหูลืมตา เสียงกระหึ่มนี้ดังอยู่ทุกทิศทาง 

 เดินไปผมก็สอดส่ายสายตาฝ่าเม็ดฝนไปพลาง มองหาว่าต้นเสียงอยู่ที่ใดในท้องฟ้า โดยหารู้ไม่ว่า เสียงนี้เป็นเสียงคำรามตอนเริ่มของพายุนั่นเอง

เดินต่อมาได้สัก 2 กิโลเมตร ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมก็แรงมากขึ้นๆ เสียงลมคำรามหวีดหวิว บรรยากาศสยองอย่างยากที่จะบรรยายได้ หยีตามองฝ่าฝนไปได้แค่ไม่กี่สิบเมตร เม็ดฝนเริ่มคม บาดเมื่อกระทบผิว ทิวไม้โยนตัวรุนแรง ใบไม้สะบัดหลุดจากต้นปลิวลิ่วเป็นเส้นตรง ละอองน้ำกระจายคลุมทั้งฟ้าทั้งดิน แสงสว่างเลือนรางหม่นหมอง เบื้องบนเหนือหัวดำมืดทะมึน ต้นยางพาราสองข้างทางเริ่มหักโค่น เม็ดฝนพัดตามลมจนเกือบจะเป็นแนวราบ  

ผมเริ่มกลัวมากขึ้น หวาดหวั่นและสับสน ทำให้ตัดสินใจรีบเดินให้เร็วที่สุด เพื่อให้ถึงบ้านเร็วๆ แต่กระแสลมที่แรงมาก ทำให้เดินได้ลำบาก ต้องคอยวิ่งก้มต่ำบ้าง คลานบ้าง บนถนนลูกรังสีแดง กลายเป็นถนนดินเหนียวเยิ้มๆ ใบยางปลิวตามลมมากระทบตัวพร้อมกับเม็ดฝนอยู่ตลอดเวลาจนเริ่มแสบผิว ผมเอาเสื้ออีกตัวที่อยู่ในกระเป๋าเป้มาใส่ และคอยเอากระเป๋าบังหน้าไว้ ในใจก็ท่องคาถาพระชินบัญชรวนรอบแล้วรอบเล่าเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวและกำลังใจตลอดเวลา ยางพาราที่เคยยืนต้นสองข้างทางเริ่ม หักตามแรงกระชากไม่ปราณีปราศรัยของลม ต้นยางที่หักแล้ว กลิ้งตามลม อีกต้นเข้าสมทบ กลายเป็นลูกกลมๆ ของต้นยางหลายต้น ม้วนกลิ้งไปด้วยกัน ราวลูกบอลยักษ์สีเขียวเก้งก้าง

พี่ผู้หญิงที่บ้านข้างทางหลังหนึ่งเห็นผมคลานท่อมๆ อยู่บนถนน  ก็ตะโกนเรียกให้ผมเข้าไปหลบอยู่ด้วย ตอนผมวิ่งเข้าไป  เห็นรถปิ๊กอัพนิสสันคันเก่งของแกจอดขวางทางลม โดนลมปะทะไหวเยิบๆ เหมือนจะพลิกหงายลงไป ไม่ทันถึงบ้าน คร่าวหลังคาบนบ้านแกงัดหงายหลุดออกจากตัวบ้านตามกระเบื้องสังกะสีที่ปลิวไปก่อนหน้า ผนังบ้านก่ออิฐฉาบปูนเกาะกับเสาไม้เดิมทนแรงลมได้สักพักก็พังทลายลง เหลือแต่โครงบ้าน แกพาผมไปหลบในเตาเผาถ่าน  ซึ่งเจาะเป็นโพรงเข้าไปในเนินดินที่เรียกกันว่าปลวก แต่จริงๆ แล้วข้างในไม่มีตัวปลวก มีแต่ดินลูกรังแน่นๆ เท่านั้น
           
BX.in.th Bitcoin Exchange Thailand

 ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมยังสอดส่ายตามองลอดออกมา เห็นต้นมะพร้าวที่ปลายลู่ตามแรงลมไปสุดเหนี่ยว แล้วก็หักโค่นลงฟาดกับพื้นลูกมะพร้าวทั้งอ่อนแก่ หลุดจากขั้วกระดอนกลิ้ง  ถ้วยกะละมังทั้งพลาสติกและสังกะสีจากบ้านข้างๆ ปลิวผ่านหน้า สักครู่ แผ่นสังกะสีที่มุงบ้านจากที่ไหนก็ไม่รู้ ปลิวตามมาด้วยความเร็วที่น่าหวาดเสียว หากมีคนอยู่ตรงนั้น ต้องได้รับอันตรายแน่นอน

พายุเริ่มแรงคงที่และผ่อนลงบางครั้ง ด้วยความห่วงแม่และน้องที่บ้าน ผมตัดสินใจเดินทางต่อ แม้พี่สาวเจ้าของบ้านจะทัดทาน แต่ผมก็ยืนกราน  ขอยืมกะละมังสังกะสีลูกขนาดกลางๆ จากพี่เขามาหนึ่งใบ ไว้บังฝนและของต่างๆ ที่ปลิวมา แล้วรีบคลานๆ วิ่งๆ ออกมา

ป่ายางพาราในสายตาผมตอนนี้ กลายเป็นภาพแปลกประหลาดเกินจินตนาการ มีสุมทุมพุ่มของหลายต้นที่หักแล้วม้วนมารวมกันกองอยู่เป็นหย่อมๆ บางต้นก็ยืนต้นอยู่ได้ แต่ไร้ใบ บางต้นเหลือตอ บ้างหักสูงเสมอเอว บ้างสูงพ้นหัว หลายต้นเอนระเนนลงเกือบแนบพื้น รากฉีกหน้าดินโผล่มาอวดโฉม ยุ่งเหยิงระโยงระเยงดูรกตา ฉากหน้าเป็นม่านฝนขาว ฉากหลังเป็นม่านน้ำดำ ราวจะเป็นประตูไปสู่อีกมิติหนึ่ง

 ถนนลูกรังสายเดิมที่เคยเดินมาตั้งแต่เด็กๆ บัดนี้ มีทั้งต้น และ กิ่งยาง หักพาดระเกะระกะ ต้องปีนป่าย มุดลอด กระโดดข้าม หาเดินดังปกติได้ไม่ ลมฝนผ่อนให้ผมเดินได้ประมาณ เกือบหนึ่งกิโลเมตร แต่แล้วฟ้าคลั่งที่คลายลงก็คืนกลับ และคราวนี้เหมือนจะแรงกว่าเก่า เพียงแต่เป็นฝนที่เทสาดราวอยู่ใต้น้ำตก ส่วนแรงลมยังคงเดิม ผมลงจากถนนหลักเข้าสู่ถนนซอย ซึ่งเป็นทางแยกเข้าบ้าน  ป่ายางราบไปแล้ว ทั่วทั้งทุ่งปรักหักพังเกิดธารน้ำใหม่ขึ้นหลายสาย ผ่านจุดหนึ่งเห็นต้นแคทราย ที่มีรังต่อขนาดใหญ่เกาะอยู่ล้มลงขวางทาง เคยเห็นคนแถวบ้าน โดนต่อต่อยไข้ไปหลายวัน  ผมก็เลยตกใจกลัว ตามสัญชาติญาณ จะถอยหนี แต่มองดูดีๆ ไม่มีต่อบินออกมาสักตัวค่อยคิดได้ว่า ต่อก็คงบินไม่รอด กับเม็ดฝนและลมแรงขนาดนี้

ก่อนถึงบ้านประมาณ 1 ก.ม. มีบ้านคนงานรับจ้างกรีดยางที่รู้จักกันอยู่หลังหนึ่ง เมื่อผมมาถึง เห็นบ้านเหลือแต่โครงไม้และผนังปูนอยู่เพียงด้านเดียว สมาชิกบ้านนี้แอบอยู่ในพุ่มของต้นยางที่ล้มมากองสุมทับแน่นหนากลายเป็นที่กำบังอย่างดี  เจ้าของบ้านกำลังออกมาจับไก่ชนตัวโปรดที่แอบอยู่หลังแท่นรีดยาง ผมแวะเข้าไปทักทาย เขาเล่าว่า ตอนลมเริ่มมาใหม่ๆ ทิศทางของลมที่พัด เป็นคนละทางกับตอนนี้ และมีช่วงหนึ่งที่ลมสงบ เหมือนพายุจะหายไปแล้ว เขาบอกว่าอย่าประมาทนะ อาจจะแรงอีกก็ได้ ผมเลยหลบอยู่กับเขาพักหนึ่งจนรู้สึกว่าความแรงทั้งลมและฝนลดลงไปมาก ก็ตัดสินใจเดินทางต่อ

เมื่อปีนเนินเขาลูกสุดท้ายก่อนถึงบ้าน ผมภาวนาร่ำร้องในใจให้บ้านยังคงอยู่ เพราะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่ผมมี อ้อนวอนทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คิดถึงได้ในตอนนั้นช่วยปกปักรักษา ท่ามกลางการภาวนาอย่างไม่ยอมรับความจริง ผมก็เห็นภาพป่ายางที่เมื่อเดินผ่านในอดีต รกครึ้มจนมองไม่เห็นเขาลูกอื่นๆ แต่ตอนนี้ ท่ามกลางลมฝนที่อ่อนลง  เปิดฟ้าให้ผมเห็นไปไกลสุดสายตา   ไม่มีพุ่มพันธ์ไม้ใดๆ เหลือรอดยืนต้นอยู่  ทั้งในไร่ในสวน มะพร้าว ยางพารา ป่าละเมาะ ล้วนหักลงระเกะระกะระพื้น  และที่นั่น ที่ตั้งบ้านผม ก็ไม่มีบ้านของผมอยู่อีกแล้ว

 แม่และน้องรออยู่ไม่ไกล แต่อีกอุปสรรคคือ คลองน้ำที่ปกติกว้างแค่เพียง 1 วา  แต่น้ำที่มากับฝนทั่วทุกแห่งไหลมารวม เพิ่มความกว้างเป็นเกือบ 10 วา และความเชี่ยวกรากในระดับที่ผมไม่เคยเจอ  ดีแต่ว่า ต้นไม้ที่ล้มหักลงขวางคลองช่วยลดระยะการว่ายน้ำให้เหลือน้อย ผมเดินไต่ต้นไม้ไปจนเกือบสุดพุ่มที่จมอยู่ในน้ำ แล้วก็กระโดดตูมลงไว้น้ำพุ่งไปข้างหน้า อาศัยกระแสน้ำเชี่ยวพาตัวไปคว้าต้นที่ล้มมาจากอีกฝั่งไต่ขึ้นไป ในที่สุดหลังจาก 6 ชั่วโมงผ่านไป ผมก็มาถึงยังที่ที่เคยมีบ้านอยู่

ต้นขนุนสองต้น กะท้อนหนึ่งต้น นุ่น จิก และมะม่วง ล้วนหักโค่นลงหมด บ้านผมยังมีเหลืออยู่ให้เห็นเพียงเสาและพื้น ส่วนหลังคาและฝา ยังไม่เห็นในสายตา  แม่และน้องก็ไม่มี  ผมขึ้นยืนบนตอขนุนที่หักสูงเสมออก ตะโกนเรียกหาแม่และน้อง ด้วยใจโหยให้   สักพัก จอมปลวกที่ผมขุดไว้กะว่าจะใช้เผาถ่านก็มีคนโผล่มา คนแรกเป็นแม่และคนที่สองเป็นน้องชาย (ครอบครัวผมมีกันแค่สามคน)  ผมดีใจรีบตะโกนเรียก แม่และน้องเดินเข้ามาใกล้ แต่ยังไม่ทันถึง  เมื่อแม่เห็นผมชัดๆ  แกก็ทรุดลงกองกับพื้น น้องผมรีบประคองแม่ไว้ ผมก็วิ่งเข้าไปหา แต่น้องผมห้ามเอาไว้ แล้วหันไปคุยกับแม่ เมื่อแม่พูดจบ น้องก็หันมาบอกว่า  แม่บอกว่า ขอให้พี่ไปสู่ที่ชอบๆ แม่จะทำบุญกรวดน้ำไปให้ ไม่ต้องเป็นห่วง แม่และน้องปลอดภัยดี ผมทั้งอึ้งทั้งขำ ตะโกนบอกแม่ว่า แม่ นี่ลูกเอง ตัวจริงๆ เป็นๆ ยังไม่ตาย    ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่แม่จะคิดเช่นนั้น เนื่องจากกระแสลมรุนแรงที่พัดทุกสิ่งราบเป็นหน้ากลอง ตัวผมที่ปกติอยู่ไกลไปถึง 20 กิโลเมตร และแม่คิดว่าไม่น่าจะฝ่าพายุมาได้ ประกอบกับ การปรากฏตัวบนตอไม้ที่มองเห็นเลือนรางกลางสายฝนดูราวกับวิญญาณที่ห่วงหาโผล่มาเพื่อสั่งเสีย...  จากนั้นเราสามคนก็กอดกันร้องให้ ด้วยความดีใจ

 ในช่วงเวลา 6 ชั่วโมงแห่งพายุร้ายที่โหมกระหน่ำ ผู้คนส่วนใหญ่หลบอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรืออย่างมากก็เคลื่อนตัวไปมาในระยะใกล้  ผมอาจเป็นเพียงคนเดียวที่เดินเท้าฝ่าพายุและได้เห็นกระบวนการทำลายล้างของมันเป็นระยะทางถึง 6 กิโลเมตร

หลังจากนั้นนั้นพวกเราอพยพไปรวมกันที่บ้านป้านัด ซึ่งเป็นป้าที่พวกเราเคารพนับถือ ที่นั่นมีคนมารวมกับพวกเราอีก 10 กว่าคน เริ่มเก็บหาทุกอย่างเท่าที่เป็นอาหารได้มากินกัน โดยที่ไม่มีไฟทำอาหาร ผมได้ข้าวโพดอ่อนแทะกินดิบๆ เป็นอาหาร บางคนได้แตงโมในสวนที่หลวงหมาปลูกไว้  นอกจากนี้ยังมีมะพร้าวอ่อนให้กินอีกทั้งสวน   คืนนั้น ไม่มีใครได้นอน เพราะฝนยังคงตกตลอดคืน และพวกเราก็ไม่ทันได้สร้างที่พักหลบฝน ไฟก็จุดไม่ติดเพราะฟืน ไม้ ถ่าน ทุกอย่างเปียกหมด ไฟฉายก็เสียหายใช้งานไม่ได้  ท่ามกลางความมืด สายฝน ความกลัว ความสับสน ความกังวล ความสิ้นหวัง พวกเรา สิบกว่าชีวิต ขดตัวทรมานกับความหนาวเหน็บ รอเวลาฟ้าสาง  ที่หนักสุดคือพี่แหมว แฟนหลวงหมา ที่โดนไม้คร่าวบ้านหักปลิวมาเสียบโคนขา และยังหักคาอยู่ ร้องครวญครางกัดฟันกรอดๆ ทั้งคืน แต่หลังจากผ่านคืนนี้ พี่แหมวก็เป็นคนแรกในกลุ่มพวกเราที่ได้ขึ้นเครื่องบินไปโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น 

หลังจากนั้นเพียง 2-3 วัน น้ำใจก็หลั่งไหลมาจากเพื่อนร่วมแผ่นดิน ล้นหลามจนเราอบอุ่นใจขึ้นมามากมาย ทั้งข้าวสารอาหารแห้ง เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รถคันแล้วคันเล่าที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน พร้อมข้าวของเครื่องใช้จนดูราวจะไม่มีหมดสิ้น ผมขอกล่าวแทนผู้ประสบภัยในช่วงนั้น ขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง หากไม่ได้พวกท่าน คงอีกนานกว่าขวัญและกำลังใจของพวกเราจะดีขึ้น

 ระยะเวลาที่ผมและผู้ร่วมชะตากรรมอยู่ใต้เงาแห่งพายุร้ายที่ชื่อ เกย์ นี้ รวมแล้วประมาณ 6 ชั่วโมง ช่วงที่พายุถึงจุดรุนแรงที่สุดคือช่วงชั่วโมงที่ 4 และหลังจากนั้น ก็ผ่อนลง แต่ไม่ได้หายไป ยังคงทอดระยะโปรยฝนผสมลมไว้อีกเกือบสองวัน 

เมื่อสิ้นสายฝนเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทุกคนก็เริ่มออกสำรวจและยอมรับในความจริง ว่าพืช สวน พืชไร่ ทั้งหลายทั้งปวงที่เคยมี บัดนี้สาบสูญสิ้นไปแล้ว บ้านที่เคยอาศัยอบอุ่นก็แปรสภาพเป็นเศษซากปรักหักพัง ตามหาชิ้นส่วนมาให้ครบดังเดิมได้ยาก สัตว์เลี้ยงก็มีสูญหาย แทบจะนับได้ว่าเริ่มต้นกันใหม่จากศูนย์และยังไม่รู้ว่าจะเดินต่อกันไปอย่างไร
            
ถนนหนทางไม่สามารถใช้ได้ไปอีกระยะหนึ่ง ชีวิตผมตอนนั้นว่างเปล่า ไม่มีแก่นสาร ตื่นเช้าออกจากบ้าน เดินทางไปเท่าที่ไปได้ เก็บภาพหายนะด้วยสองตาไว้เต็มความทรงจำ

 ราวๆ วันที่ 10  หลังพายุ ผมมาเยี่ยมญาติที่บริเวณชายฝั่งทะเล แถบอ่าวทุ่งซาง อ่าวบางจาก อ่าวยายไอ๋  และที่นี่เองผมก็ได้พบกับประสบการณ์ใหม่ มีอาสาจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมาเก็บศพที่ลอยมาเกยหาด และจะด้วยชะตาอันใดไม่ทราบ อาสาที่มาบางท่านไม่สามารถทำงานได้เพราะป่วยกะทันหัน เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งประกาศรับอาสาเพิ่ม เพื่อช่วยขุดดิน ยกศพขึ้น ห่อศพ แล้วนำออกไปจากพื้นที่  ผมจึงยกมืออาสา จนท ท่านนั้น ถามว่าเคยเห็นศพมาก่อนไหม กลัวศพหรือเปล่า เพราะเห็นผมยังเป็นเด็ก แต่โชคดีที่ช่วงที่อยู่วัด ผมได้มีโอกาสช่วยสัปเหร่อจัดการศพมาก่อน เลยไม่รู้สึกกลัว

เมื่อร่วมขบวนไปกับมูลนิธิ ผมก็ได้เห็นภาพประหลาดใจ คนผู้หนึ่งในชุดวิริสมาหรา มือถือธง วิ่งไปบนหาดทราย แล้วปักธงลงพื้นทรายที่ราบเรียบ แต่ละหาดนับสิบๆ จุด เมื่อเราไปถึง ขุดลงไปใต้ทรายก็จะพบกับศพที่ชาวบ้านบริเวณนี้ได้มาขุดดินฝังไว้ในช่วงที่ศพมาเกยหาดใหม่ๆ สองวันที่ผมอยู่ในทีมอาสา น่าจะมีกว่า 40 ศพที่ถูกขุดขึ้นจากสามอ่าวสั้นๆ ขนาดไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร ฉะนั้น หากจะประเมินว่ามีคนเสียชีวิตไปกี่คน ก็อาจใช้วิธีนี้ในการประเมินได้เช่นกัน  ศพที่ผมไปขุดขึ้นมา บ้างก็เปื่อยจนเนื้อหนังลอกหลุด  บ้างก็บวมอืดจนเสื้อผ้าปริแตก บ้างก็มีสัตว์ทะเลกำลังชอนไชดื่มด่ำ บ้างก็ดึงจากพื้นขึ้นมาได้เพียงโครงกระดูกที่มีเอ็นร้อยรัดไว้ กลิ่นงี้รุนแรงอย่าให้บอก ผมกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน แต่ก็รู้สึกดีที่ได้เห็นได้ทำ ......

 ราวยี่สิบวันต่อมาก็มีข่าวว่าให้กลับไปที่โรงเรียน โรงเรียนกลับมาเปิดแล้ว
เรื่องราวต่อจากนี้ยังมีอีกมากมาย แต่ผมขอตัดตอนเอาเฉพาะประสบการณ์ส่วนที่พอจะทำให้ท่านที่อ่านได้ประสบการณ์ เผื่อว่าคำทำนายเรื่องพายุจะเกิดนั้นเป็นความจริงขึ้นมาจะได้เตรียมตัวเผื่อรับเหตุการณ์ได้ ไม่ต้องลำบากมากเหมือนกับพวกผมในตอนนั้น  และขอเสนอคำแนะนำในการเผชิญหน้ากับพายุที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ตรง ดังนี้ครับ

          แนวทางการเอาตัวรอดเมื่อเกิดพายุ
1.      วัสดุอุปกรณ์ที่ควรมีเตรียมเอาไว้
                                 1.     ถุงซิป สำหรับใส่ทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้และเปียกน้ำไม่ได้ ได้แก่ ข้าวสารอาหาร ชุดยา ไฟฉาย(ถ้าเป็นไฟฉายกันน้ำได้จะดีมาก) เสื้อผ้า ผ้าห่มไฟแช็ก เอกสารทางราชการบัตรประจำตัว ทะเบียนบ้านต่างๆ รูปภาพ และควรมีกล่องหรือภาชนะที่แข็งแรงสำหรับใส่ของใช้ดังกล่าว แนะนำโอ่งมังกรปิดฝาและผูกรัดให้แน่น

                                 2.     เครื่องมือช่าง ขวาน เลื่อย โซ่ ชะแลง มีดพร้า ค้อน ตะปู แม่แรง ท่านอาจต้องช่วยเหลือผู้ประสบภัย  รื้อบ้านของท่านเอง หรือสร้างที่อยู่ใหม่ชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ควรมีติดบ้านเอาไว้ ในกรณีที่น้ำท่วมบ้าน ท่านอาจใช้เชือกผูกเตียงลอยจากพื้นเพื่อใช้เป็นที่นอนชั่วคราวได้

                                 3.     เตาแก๊ส ถังแก๊ส และไส้ตะเกียงที่ใช้จุดกับถังแก๊ส เมื่อพายุผ่าน ท่านจะไม่มีไฟฟ้า ใช้  ฟืนก็เปียก ไฟฉายก็ใช้ได้ไม่นาน อุปกรณ์ชุดนี้จะช่วยให้ท่านทำอาหารได้ และ มีไฟสว่างในช่วงกลางคืน

                                 4.     ผ้าใบ ผ้ายาง แผ่นพลาสติก หลังพายุผ่านจะยังมีฝนตกอยู่ ท่านต้องสร้างเครื่องป้องกันฝนและลมเพื่อให้ผ่านคืนแรกไปได้

                                 5.     ผ้าสี เมื่อพายุผ่าน ความช่วยเหลือ(ในชนบท)จะมาทางอากาศ นักบินจะเห็นสีที่สว่างชัด (หรือใช้ก่อไฟให้มีควันก็ได้) ถ้าท่านต้องการความช่วยเหลือ ให้เรียงผ้าสีบนพื้นดิน เป็นตัวอักษร เช่น HELP,  SOS

                                 6.     ยารักษาโรคที่ควรมีได้แก่ ยาทาแผลสด ชุดทำแผล ยาแก้ปวด ลดไข้ ยาแก้ท้องเสีย สารส้ม(สำหรับแกว่งน้ำเพื่อทำให้น้ำใส) ยาแก้อักเสบ ยาทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย และยาแก้แพ้

2.      สิ่งที่ต้องระวังขณะเกิดพายุ
                                 1.     กิ่งไม้ ต้นไม้ ที่อาจจะล้มใส่บ้านท่าน ใส่ตัวท่าน ให้อยู่เหนือลมหรือบริเวณที่แข็งแรง อย่าเสี่ยงวิ่งผ่านต้นไม้ใต้ลมขณะลมพายุพัดแรง
                                 2.     วัสดุสิ่งของที่ปลิวได้ เช่นกระเบื้อง สังกะสี ไม้ฝาบ้าน กระจก เมื่อปลิวตามลมที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถทำอันตรายได้ถึงตาย
                                 3.     ไฟฟ้า ปกติแล้ว เมื่อมีการโค่นล้มของสายไฟ หรือมีฝนฟ้าพายุรุนแรง ทางการไฟฟ้าจะตัดไฟก่อน เพื่อความปลอดภัย แต่ท่านก็ไม่ควรประมาท

                                 4.     สิ่งอื่นๆ ที่ล้มได้ เช่นกำแพง รถทรงสูง เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา ฯลฯ เมื่อโดนลมแรงๆ ล้มฟาดลงมา ไม่ตายแหงแก๋ ก็พิการหัวโกร๋น
                                 5.     น้ำท่วม ดินถล่ม ที่ลุ่มที่ต่ำ จะมีน้ำมาท่วมขังอย่างรวดเร็ว เพราะพายุนำน้ำมาจำนวนมาก เมื่อน้ำมีมากพอ พื้นดินบางแห่งก็ถล่มลงมาได้ง่าย โปรดสังเกตุบริเวณที่ท่านอยู่ให้รอบคอบและหลบเลี่ยง
                                 6.     สัตว์ต่าง ๆ เช่น งู หนู แมงป่อง ตะขาบ ฯ ทั้งมีพิษและไม่มีพิษ พวกเขาก็ตกที่นั่งลำบาก และต้องการที่พักพิงเหมือนเรา ในกลุ่มผม มีหนึ่งคนที่ถูกงูกัดในคืนที่สองและเราพบสัตว์ที่กล่าวถึงจำนวนมาก ในที่ที่อบอุ่น หลบภัยได้ เช่นถ้ำ อาคารที่ไม่เปียกชื้นมาก ให้ระวังก็แล้วกันครับ ไม่แนะนำให้ฆ่า เพราะต่างก็รักชีวิตเหมือนกัน

3.      วิธีการหลบภัยพายุ
                                 1.     อย่ากังวลสัตว์เลี้ยงของท่าน สัตว์มีสัญชาติญานในการหนีดีกว่าท่านเสียอีก
                                 2.     แบ่งกันดูแลเด็กๆ หาเสื้อหนาๆ กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบให้ใส่ มีผ้าขนหนูติดตัวไว้สักผืน คลุมหน้ากันลมและฝน
                                 3.     อย่าห่วงข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น ทีวี เสตอริโอ ยังไงก็ต้องซื้อใหม่แน่นอน
                                 4.     สวมเสื้อผ้าหนาๆ เช่นผ้ายีนส์ เสื้อแจกเก็ต ใส่รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าบูท สวมหมวกและแว่นตาพลาสติก หรือสวมหมวกกันน็อคแทนก็ได้

หลบในที่กำบังที่แข็งแรง ไม่ปลิวตามลม ไม่พังทลาย ทนแรงกระแทกจากสิ่งกระทบอื่นๆ เช่น ต้นไม้ล้มฟาดได้ เช่น จอมปลวก(ในชนบทมีเยอะในเมืองคงหายากหน่อย) เจาะรูไว้ก่อนก็ได้  ในโอ่งแดง(โอ่งปูนซีเมนต์ขนาดยักษ์) ในห้องน้ำที่อยู่นอกบ้าน เนินดิน (ต้องมั่นใจว่าไม่อยู่ในร่องน้ำ) ในตัวอาคารที่มั่นใจว่าแข็งแรง

                                 1.     เพียงพอ ที่ความแรงลมระดับพายุเกย์ คือมากกว่า120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประตู หน้าต่าง จะถูกทำลายหมด
                                 2.     กลางที่แจ้งต้องคลานต่ำ ในอาคารต้องอยู่ใกล้เสา หลังผนัง ห่างหน้าต่าง ประตู
                                 3.     ในรถ ห้ามขับ ถ้าลมพัดปะทะหน้าหรือท้ายไม่อันตรายมาก ถ้าลมปะทะด้านข้าง ห้ามขับเด็ดขาดและควรลงจากรถ ให้ระวังเสาไฟฟ้า และสิ่งของที่ปลิวตามลม ซึ่งสามารถทำลายกระจกรถได้อย่างง่ายดาย ควรทิ้งรถ หาที่กำบังที่ปลอดภัยดีกว่า
                                 4.     ถ้าลมพัดแรงแล้วจู่ๆ สงบนิ่ง อย่าเพิ่งดีใจ ท่านอาจเข้าสู่ตาพายุ ควรเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อลมกลับมาอีกครั้งจะมาคนละทิศกับก่อนลมสงบ


อาจยังมีประการอื่นๆ หากท่านคิดออก เตรียมการณ์ไว้ ก็จะช่วยท่านได้ในยามคับขัน
จากประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองในครั้งนั้น ที่ผมเรียบเรียงมาเล่านั้น    เพียงหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนหากว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น   เตรียมการณ์ไว้ หากมีภัยก็ปลอดภัยไม่มีภัยก็ไร้ปัญหา  อย่างไรเสียผมก็ภาวนาอย่าให้คนไทยต้องประสบภัยเช่นนั้นอีกเลย  ...........      . สวัสดีครับ

 ผู้เขียน สรพัศ ปณกร  (ชื่อเดิม  ดนัย ผินประดับ)  ชื่อเล่น ตู่ ที่อยู่ขณะเกิดเหตุพายุ คือ หมู่5 บ้านเขาพัง ต. ชุมโค อ. ปะทิว จ. ชุมพร  เส้นทางที่เดินคือเส้นทางจาก สถานีรถไฟวังช้างไปบ้านบางจากแม่และน้องชาย มนัสวัณณ์ หอมจันทร์และ อนันต์ ปณกร
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พายุไต้ฝุ่น GAY เป็นพายุเขตร้อนลูกแรกและลูกเดียวในรอบ 54 ปี ( 2494-2547)
ที่มีกำลังแรงเป็นไต้ฝุ่นในขณะที่เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกของประเทศไทย โดยจุดที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนตัวขึ้นคือ บริเวณ อำเภอปะทิว จ. ชุมพร มีความเร็วใกล้ศูนย์กลาง 120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง จังหวัดใกล้เคียง ได้รับผลกระทบเกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น